“วัฒนา” ร่อนหนังสือขอ “บิ๊กตู่” กลับบ้านมาสู้คดีใหม่ หากผิดจริงยอมติดคุกไม่หนีอีก

จากกรณี “วัฒนา อัศวเหม” ซึ่งต้องโทษในคดีในคดีทุจริตคลองด่าน1.9พันล้าน โดนตัดสินจากศาลแขวงดุสิตซึ่งได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 254/2547 ที่กรมควบคุมมลพิษ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องให้จำคุก3ปีต่อมาวัฒนาได้หลบหนี

นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งขณะนี้หลบหนีคดีอยู่ ได้ส่งหนังสือถึงสื่อมวลชน โดยหนังสือเล่มดังกล่าวใช้ชื่อว่า “เปิดหัวใจ ลูกผู้ชายที่ชื่อ วัฒนา อัศวเหม” มีทั้งสิ้น 32 หน้า มีเนื้อหาหาชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีฐานฉ้อโกงการจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ มูลค่า 1.9 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยที่ดินนั้น เป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน และฉ้อโกงสัญญาก่อสร้างฯ มูลค่าประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ นายวัฒนา ได้เกริ่นนำในหนังสื่อตอนหนึ่งว่า “ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณประชาชน ที่รักความเป็นธรรมทุกคน ที่ยังรักและเป็นห่วงผม มีสื่อและประขาชนส่งจดหมายถึงผมมากมาย อยากให้ผมออกมาเปิดเผยความจริงที่เกิดขึ้นในคดีคลองด่าน เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับข่าวสารข้อมูลจากคนเพียงฝ่ายเดียว ยังไม่เคยได้ยินความจริงจากผมสักครั้ง

ความจริงแล้ว ผมเคยพยายามแจ้งความจริงต่อกระบวนการยุติธรรมและทางสื่อแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ว่าผมจะชี้แจงและพูดความจริงอย่างไร ผลก็ออกมาอย่างที่ทุกคนเห็นกัน คนที่รักและเชื่อมั่นในตัวผม ต่างก็ให้กำลังใจและสอบถามกันมาตลอดว่า เหตุใดผมจึงนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้หรือชี้แจง ผมก็ได้แต่บอกว่า ผมพยายามแล้วแต่มันไม่ใช่เวลาของผม พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ กระแสสังคมก็แรงมาก ต่างกระหนำซ้ำเติม ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของผมโดนก่นด่าไม่มีชิ้นดี ผมเป็นคนที่เห็นอะไรไม่ถูกต้องเป็นไม่ยอม คงไปสร้างความไม่พอใจให้ผู้มีอำนาจขณะนั้นหลายคนจึงโดนเล่นงาน

นอกจากนี้หนังสือของนายวัฒนา ยังระบุอีกว่า ขณะนี้ได้เตรียมการที่จะขอรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ และจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนร่วมขบวนการให้ร้าย รวมทั้งผู้ที่มีเจตนาใส่ร้ายตน พร้อมยืนยัน 1.เรื่องที่ดิน ตนไม่เคยนำที่ดินไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ 2.เรื่องโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และ 3.เรื่องเงิน “ค่าโง่” ที่รัฐบาลจ่ายให้กับโครงการนี้ ตนก็ไม่เรื่องและไม่เคยได้รับ

“ในวันนี้ผมมีอายุ 85 ปีเศษแล้ว ไม่อยากจากโลกนี้ไปและยังคงทิ้งตราบาปไว้ให้กับลูกหลานและวงศ์ตระกูล ดังนั้น เมื่อปัจจุบันมีข้อมูลใหม่ๆ เปิดเผยออกมามากมาย ไม่เหมือนในช่วงที่มีการสอบสวนและตัดสินคดีผม ซึ่งข้อมูลต่างๆ ถูกปิดบังถูกบิดเบือน ถูกชี้นำจากอำนาจการเมือง ทำให้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง ทำให้ผมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ผมจึงอยากขอโอกาสกลับไปแสดงความบริสุทธิ์ ขอให้ผมได้ประกันตัวผมจะกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง เอาข้อมูลข้อเท็จจริงมาว่ากัน ถ้าผมผิด ผมพร้อมให้ถูกดำเนินคดี ผมจะไม่หนีอีกต่อไป”

อย่างไรก็ตามในตอนท้ายของหนังสือดังกล่าว นายวัฒนา ได้ขอความเป็นธรรมต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า “ผมหวังเพียงว่านายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาชนรัก และเชื่อมั่นในตัวท่านว่าท่านเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนเที่ยงตรง และมีความยุติธรรมจะเปิดโอกาสให้คนแก่อย่างผมได้กลับบ้าน และเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง”

สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2552 พิพากษาว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-19 เชื่อมโยงมีการแบ่งหน้าที่กันทำ นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-19 ร่วมกันกระทำผิดตาม ม.341 ฐานร่วมกันฉ้อโกง อันเป็นความผิดกรรมเดียว จึงให้จำคุก รวมนายวัฒนา จำเลยที่ 3, 5, 7, 9, 11, 13-15, 17, 18, 19 คนละ 3 ปี

ต่อมาวันที่ 13 ก.ค.61 ศาลแขวงดุสิตได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาตรวจสำนวยประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ รับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยรวม 18 รายกระทำผิดตามฟ้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันฉ้อโกงกรณีการซื้อที่ดิน 1.9 พันล้านบาท และฉ้อโกงกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 19 ที่ศาลตัดสินจำคุกคนละ 3 ปีนั้น ตัวจำเลยไม่มาศาลก็ให้ออกหมายจับนำตัวมารับโทษตามคำพิพากษาฎีกาซึ่งถึงที่สุดแล้วภายในระยะเวลารับโทษที่มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่ออกหมายจับ (หมดอายุความปีพ.ศ.2571)

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม