“สนธิรัตน์” อำลากระทรวงพลังงาน ฝากสานต่อ “โรงไฟฟ้าชุมชน-PDP 2018”ย้ำ บทบาทเพื่อประเทศ ทำได้หลากหลายไม่จำเป็นแค่นักการเมือง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงพลังงาน และขอบคุณผู้บริหาร และข้าราชการกระทรวงพลังงาน ที่ได้ทำงานร่วมกันมาตลอดระยะเวลา 1 ปี พร้อมทั้งได้สรุปผลการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนมาตลอดระยะเวลา 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายสนธิรัตน์ เปิดเผยว่า การเข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนั้น ได้วางนโยบายสำคัญไว้ 2 ด้านหลัก ได้แก่ 1. Energy For All ซึ่งมุ่งเน้นการนำพลังงานมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ และ 2. การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำและเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน
โดยตลอดการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมานั้น กระทรวงพลังงานได้เข้ามาเปลี่ยนบทบาทเปิดตัวเองไปสู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีภาพเป็นกระทรวงด้านเทคนิคเพราะมีบทบาทในการกำกับดูแลความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและปากท้องของประชาชนได้
สำหรับนโยบายสำคัญที่ได้ขับเคลื่อนที่ผ่านมานั้น ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ย้ำว่าหัวใจที่แท้จริงของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ไม่ใช่ เอกชนที่เข้ามาลงทุนในโครงการ เพราะการมองที่ผลตอบแทนการลงทุนเป็นที่ตั้งจะทำให้เกิดปัญหาระหว่างผู้ประกอบการและชุมชน แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ชุมชนสามารถขายวัสดุทางการเกษตรให้กลายเป็นพืชพลังงานได้ ชุมชนในพื้นที่ที่ห่างไกลสายส่งเข้าไม่ถึงไฟฟ้าสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้โครงการดังกล่าวเข้าไปช่วยให้ประชาชนมีรายได้จากพืชพลังงาน แก้ปัญหาหนี้เกษตรกร
การส่งเสริมการใช้น้ำมัน B10 และ B20 เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ราคาที่เป็นธรรม
การปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรม โดยที่ผ่านมาได้ปรับราคาหน้าโรงกลั่น 50 สต./ลิตร สำเร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องโครงสร้างการซึ่งจะนำไปสู่การวางโครงสร้างการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การวางโครงสร้างราคาก๊าซระยะยาว และกำลังพิจารณาเรื่องโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าที่สะท้อนต้นทุน
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV ซึ่งใช้บทบาทของกระทรวงพลังงานในแง่ของการเป็น Supply ด้านพลังงาน ไปกำหนดบทบาทของการส่งเสริม EV เช่น การกำหนดราคาค่าไฟฟ้าที่จูงใจในการลงทุน Charging Station
การผลักดันให้ไทยเป็น LNG Hub ซึ่งอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนของ ปตท. คาดว่าอีกไม่เกิน 1-2 เดือน ทาง ปตท.จะสามารถดำเนินการได้
เริ่มต้นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งหากบรรลุข้อตกลงได้จะทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานไปอีก 30 ปี
รวมถึงการเปิดสิทธิ์สำรวจปิโตรเลียม
รอบที่ 23 หลังจากที่ไม่ได้เปิดมาเป็นเวลา 10 กว่าปี และการเจรจาเพื่อระงับการเข้าสู่กระบวนอนุญาโตตุลาการเรื่องการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมในทะเล
นอกจากนี้ ยังฝากปลัดกระทรวงพลังงาน เรื่องการปรับแผน PDP 2018 ให้สอดรับกับทิศทางต้นทุนไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่เป็นธรรม
“แม้ตนจะหมดวาระในวันนี้ แต่ในส่วนของเนื้องานก็ยังจะต้องเดินหน้าต่อตามกรอบเวลา ถ้าโครงการไหนที่รัฐมนตรีคนใหม่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และจะดำเนินการสานต่อก็รู้สึกยินดี แต่อย่างไรก็คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบาย และดุลยพินิจของรัฐมนตรี “ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวย้ำว่า บทบาทการทำงานเพื่อประเทศชาตินั้น ทำได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองก็ได้ คนทุกคนมีบทบาททางการเมืองทั้งสิ้น ส่วนใครจะมารับช่วงต่อนั้น ทางนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือก เพราะอยู่ในอำนาจและดุลยพินิจของท่าน ซึ่งตนขอไม่แสดงความเห็นใด ๆ และไม่ขอตอบคำถามว่าระหว่าง นายไพรินทร์ และนายสุริยะ นั้นใครเหมาะสมกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ระหว่างเว้นว่างงานทางการเมืองนั้น ก็จะขอพักผ่อนก่อน และอาจจะกลับมาทำบาทบาทหน้าที่เดิมเพื่อชุมชน ในมูลนิธิสัมมาชีพต่อไป ส่วนจะกลับเข้าเล่นการเมืองหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังมองไม่เห็นโอกาส เพราะยังไม่มีตำแหน่งทางการเมือง