จากที่มีการติดเชื้อโควิดของทหารอียิปต์ที่หนีเที่ยวห้างระยอง รวมทั้งลูกสาวทูตซูดานที่กักตัวอยู่ในคอนโดฯ ทำเกิดการวิจารณ์ศบค.ว่าการ์ดตกซึ่งประชาชนหวั่นใจว่าจะเกิดการระบาดในรอบสองที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง
ล่าสุดวันนี้(17 ก.ค.63) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาประเมินสถานการณ์โควิด –19 ทั้งของไทยและทั่วโลกว่า เชื่อว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ระลอก 2 ในไทยมาแน่ แต่จะมาเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกคนไทย และหวังว่า การระบาดจากนี้จะเป็นในลักษณะแบบช้า หรือที่เรียก slow burn เหมือนกับการเผากระดาษที่ช้าๆ
“พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์จังหวัดระยอง และคอนโดซูดานจะเป็นบทเรียนที่ดี ให้ทุกคนกลับมาทบทวนการ์ดอย่าตก ยังต้องสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือ มีระยะห่างทางสังคม เพราะหากคนที่ไปในพื้นที่ดังกล่าวนั้น มีการรวมหน้ากากอนามัย หรือมีระยะห่างก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าโอกาสการได้รับเชื้อมีน้อย”
ทั้งนี้คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ยังได้กล่าวย้ำว่า จาก 2เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชน ไม่เชื่อรัฐบาล และจ้องโทษและต้องการให้หาคนรับผิดชอบ มองว่าในเรื่องนี้ ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น หรือ มัวแต่เสียเวลาหาคนผิด
เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการควบคุมโรค พร้อมย้ำว่าเหรียญมี 2ด้านเสมอ การสื่อสารของรัฐบาลหรือข้อมูลที่ออกมาระบุว่า ประเทศไทยไม่พบการติดเชื้อในประเทศ มาแล้วกว่ากี่วันเหล่านั้น ไม่อยากให้ประชาชนหลงในข้อมูลเหล่านี้
“โอกาสการแพร่ระบาดระลอก 2 มีขึ้นได้ อย่าชะล่าใจ เพราะในต่างประเทศ อย่าง ประเทศออสเตรีย ที่ได้รับการยกย่องว่า ดีเยี่ยมในการควบคุมโควิด ยังพบการระบาดระลอก2 หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเองก็มีการระบาดในประเทศ สิงคโปร์ กลับมาระบาดเพราะแรงงาน เราจึงเป็นต้องศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศ และเข้าใจว่าโอกาสเกิดโรคมีได้แน่นอน
เปรียบทุกประเทศในโลก เหมือนกองไฟ และรอวัคซีนคือน้ำดับไฟ แต่การจะปิดประเทศอย่างเดียวไม่ได้และสามารถทำได้ตลอด หรือไม่ให้คนออกไหนเพราะป้องกันโรค ตรงนี้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่าเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ต้องให้ ควบคุมมาตรการให้เข้ม และผ่อนคลายในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ทำไมถึงต้องคุมมาตรการให้เข้มทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การเว้นระยะห่าง เพราะว่าหากปล่อยให้มีการระบาดระลอก2 นี้ ประเทศไทยอาจมียาไม่เพียงพอเพราะยาที่ใช้รักษากันอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ผลิตเอง เป็นยานำเข้ามาจากต่างประเทศ และทุกประเทศก็ยังมีการระบาดทั้ง ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ คลอโรควิน ทุกอย่างนำเข้าจากจีน ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียเงินไปกับการป้องกันโรคและชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจไปมาก หากปล่อยให้มีการระบาดระลอก 2 ที่รุนแรง ก็จะแย่ หากปิดกิจการ เพื่อควบคุมโรค คนก็ลำบาก ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกัน