DSI บุกค้นผู้ประกอบการที่นำสารพาราควอตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์ หลอกขายให้ประชาชน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท
ในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563) พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดี
กรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พันตำรวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ พันตำรวจโท กฤช อาจสามารถ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 5 (เชียงใหม่) พร้อมด้วย นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 5 (เชียงใหม่) และศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 6 (พิษณุโลก) บูรณาการร่วมกับ กรมวิชาการเกษตร และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้นผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตราย โดยนำสารพาราควอตหรือสารไกลโพเซลผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์หลอกขายให้ประชาชน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท
กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการป้องกันและปราบปรามตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีการซื้อขายผลิตภัณฑ์สารชีวภาพอินทรีย์สำหรับกำจัดวัชพืช ผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดีย โดยได้มีการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งได้ทำการล่อซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการตามที่ได้มีการลงขายในสื่อโซเซียลมีเดีย และได้ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปตรวจกับกรมวิชาการเกษตร พบว่า ผลิตภัณฑ์สารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชดังกล่าว มีส่วนผสมของสารเคมีพาราควอต ซึ่งปัจจุบันสารดังกล่าวเป็นสารที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบกับ เมื่อทำการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร ปรากฏว่า ไม่พบข้อมูลผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนไว้ ซึ่งลักษณะการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิดฐาน ผลิต หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 43 ประกอบ มาตรา 47)
ต่อมา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บูรณาการร่วมกับ กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าตรวจค้นผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตราย โดยนำสารพาราควอตผสมในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์ หลอกขายให้ประชาชน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมกันจำนวน 8 จุด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 4 จุด
จากการเข้าตรวจค้น สามารถยึดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และเอกสารที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้อายัดอุปกรณ์การผลิตไว้เพื่อทำการตรวจสอบ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งดำเนินคดีและสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภค โดยใช้มาตรการทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยการกระทำความผิดดังกล่าว ได้ส่งผละกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1. ด้านสุขภาพร่างกาย กรณีนี้เป็นการขายในลักษณะหลอกลวงว่า ผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์ สามารถใช้กำจัดวัชพืชได้ โดยไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผสมอยู่ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและสั่งซื้อมาใช้เป็นจำนวนมาก โดยประชาชนได้นำไปใช้โดยคิดว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่แท้จริงปรากฏว่ามีสารพาราควอตผสมอยู่ ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีการยกเลิก 2 สาร ได้แก่ สารพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ส่วนไกลโพเซต จำกัดการใช้ เนื่องจากประชาชนได้รับอันตรายจากการ ใช้สารดังกล่าว โดยมีประชาชนได้รับผลกระทบมากกว่า 5,000 รายต่อปี และเสียชีวิตมากกว่า 500 รายต่อปี รวมทั้งรัฐต้องเสียค่ารักษามากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี
2. ด้านสิ่งแวดล้อม การใช้สารดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม โดยหากสารดังกล่าวได้ตกค้างไปยังแม่น้ำ ลำคลอง รวมทั้งพืชผักต่าง ๆ จะทำให้ประชาชนได้รับอันตราย
3. ด้านความเสียหาย กรณีนี้ลักษณะการกระทำความผิดเป็นการขายโดยผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งมีการสร้างเครือข่าย จนทำให้ประชาชนหลงเชื่อสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการประมาณการน่าเชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้านบาท
กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ และมีแหล่งจำหน่ายที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อมูลหรือเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว สามารถแจ้งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษผ่านทางเว็บไซต์ www.dsi.go.th หรือโทรสายด่วน DSI Call Center 1202 (โทร.ฟรีทั่วประเทศ) โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะเก็บรักษาข้อมูลผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็นความลับ
กรรณิกา วชิรโสภาพรรณ ผู้สื่อข่าว จ.เชียงใหม่