ช็อค.! ท่องเที่ยวไทย “หายใจไม่ออก” ในตลาดอเมริกา
ปีที่ผ่านมา…ท่องเที่ยวไทยในตลาดโลกถูกเขย่า จากกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำปากไว ประ กาศตั้งกำแพงกีดกันสินค้าจีน ทำเอาสี จิ้น ผิง ต้องตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
พลอยให้ประเทศหญ้าแพรกทั้งหลาย หนาวๆร้อนๆไปตามกัน
เพราะมีส่วนทำให้บรรยากาศท่องเที่ยวทั่วโลกชะลอตัว ด้วยขาดความมั่นใจในผลกระ ทบทางเศรษฐกิจ ที่พญาอินทรีเปิดศึกกับพญามังกรเอเชีย
เมืองไทยได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากทั้งสองคือพันธมิตรคู่ค้าสำคัญ ทั้งภาคเกษตรกรรม สิ่งทอ และท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวค้ำจุนเศรษฐกิจประเทศ
อเมริกาเป็นบิ๊กมาร์เก็ตท่องเที่ยวเจ้าเก่า ที่จัดเต็มให้ไทยตลอด 60 ปีถึงปีนี้
ส่วนจีน…ถึงจะเป็นลูกค้ารายใหม่ไม่กี่สิบปี แต่เป็นรายใหญ่ที่ขนคนมาปีละ 11 ล้านคน…จนจีนแอบคิดในใจ วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก!
และเมื่ออเมริกากับจีนกลายเป็นแก้วที่มันร้าว ไทยก็ยังโชคดี…ตรงแนวโน้มท่องเที่ยวในตลาดอเมริกา ก็หาได้เลวร้ายไปซะทีเดียว!
ปีที่แล้ว…อเมริกันเที่ยวไทย 1.6 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 5% ทำรายได้ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่ม 9% ปี 2561 ติดท็อปเท็นอันดับ 8 เหนือสิงคโปร์กับเวียดนาม ที่มาไทย 1.12 ล้านคน
ตลาดนี้สำคัญไฉน?… ให้ดูปี 2503 ที่ไทยเพิ่งก่อตั้งองค์กรท่องเที่ยวสำเร็จ ปีนั้นมีนักท่อง เที่ยวโดยรวมทั้งปีแค่ 81,340 คน…เชื่อมั้ย? ตลาดหลักขณะนั้น…คืออเมริกัน!
จากการเริ่มทำตลาดนำคณะนาฏศิลป์ไปแสดงเผยแพร่ ที่ลานร็อกกีเฟลเลอร์พลาซ่า ในนิวยอร์ก ถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ เพื่อโหมโรงชวนภาคประชาชนวางแผนมาเที่ยว
ได้รับความสนใจดีทีเดียว เพราะเป็นสิ่งใหม่กับคนซีกโลกนี้ ยิ่งได้ชมศิลปะการต่อสู้แบบดาบคู่ฟันกันไฟแลบ คนดูก็ยิ่งตื่นเต้นยกมือปิดหน้า แต่แอบแหวกช่องนิ้ว…เพราะอยากดู!
จนแนวโน้มตลาดโตขึ้น จึงตั้งสำนักงานท่องเที่ยวสาขาต่างประเทศแห่งแรกขึ้นที่นั่น เมื่อปี 2508 กับ แอล.เอ. ปี 2512 จะได้บุกเจาะตลาดกันแบบกัดไม่ปล่อย
ต่อมา…เปิดที่ชิคาโกอีกแห่ง แต่โชคร้าย! พระเจ้าไม่เข้าข้าง ปี 2540 ต้มยำกุ้งเป็นพิษ รัฐ บาลถังแตกจนต้องปิดไป เพื่อประหยัดงบประมาณ
กระนั้น…สถานการณ์ตลาดอเมริกาก็ยังลื่นไหล จากการที่ไทยประกาศลดค่าเงินบาททำให้อ่อนตัวจาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
พุ่งปรี๊ด! เป็น 56 บาททันที…คนอเมริกันถึงได้ใจอยากมาเที่ยวไทย ที่เคยใช้เงิน 1$ ซื้อเบียร์ได้ 1 ขวด เพิ่มเป็น 2 ขวดในบัดดล…นี่ยังไม่นับค่าโรงแรม และชิม ช้อป ใช้ อีกบานเบอะ!
ส่วนภาพรวมรายได้ท่องเที่ยวต่างชาติปีนั้น ส้มหล่นที่ 2.20 แสนล้านบาท เท่ากับเพิ่มขึ้น 0.63% ปีถัดมาค่าเงินบาทยังอ่อนปวกเปียกแต่รายได้ขยับที่ 2.42 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.70%
หลายปีต่อมา…ท่องเที่ยวไทยตกผลึกเนื้อหอม ต่างชาติแดนใกล้ไกลนิยมมากินเที่ยวบ้านเรามากขึ้น เบียดตลาดอเมริกาหล่นตุ๊บไปอยู่กลุ่ม 3 รองจากเอเชียตะวันออก กับยุโรป
แต่ก็อยู่ในอัตราการขยายตัวสูงมาตลอด อย่างปี 2549 หลังหม้อต้มยำกุ้งถูกคว่ำสำเร็จ อเมริกันมาไทย 6.94 แสนคน พอปี 2554 ขยับเป็น 7.68 แสนคน ปีรุ่งขึ้น 8.23 แสนคน
ครั้นปี 2559 ขึ้นมาอยู่ที่ 9.74 แสนคน ปี 2560 เหยียบหลัก 1.05 ล้านคน และ 1.12 ล้านคน กับ 1.6 ล้านคน ในปี 2561 – 2562 ตามลำดับ
โหมดการใช้จ่ายเงินคนอเมริกันเที่ยวไทย คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เชียงใหม่ รายงานไว้ในวารสารเศรษฐศาสตร์ ฉบับ ม.ค.- เมษ.2544 ว่า ปี 2543คนกลุ่มนี้ใช้เงินวันละ 4,451 บาทต่อคน พักเฉลี่ยในไทย 9 – 10 วันต่อทริป
ปี 2560 งานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ ททท. ระบุวันพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 14 – 18 วัน ใช้จ่าย 5,204 บาทต่อคน/วัน เท่ากับทิ้งเงินไว้ปีนั้น 74,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.66%
จะเห็นว่า…อเมริกาเป็นตลาดศักยภาพสูงน่าคบค้า ทั้งด้านการเพิ่มจำนวนและรายได้ ไม่ก้าวกระโดดแบบทัวร์เหมาโหลยกกุรุสอย่างจีน ที่ด้อยคุณภาพด้านพฤติกรรมขณะท่องเที่ยว
ที่น่าสนใจ…กรมการท่องเที่ยว ก.การท่องเที่ยวฯ ออกมายืนยันตัวเลขเดือน ม.ค.ปีนี้ อเม ริกันเที่ยวไทย 113,847 คน ลดลง 2.62% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และ ก.พ.72,484 คน เริ่มส่งสัญญาณรูดลง 24.55% มี.ค.รู้แล้วใจหายตัวเลขติดปากถุงแค่ 24,151 คน เดี้ยงไป 77.97%
เมษาฯจำนวนหายวับไปกับตา เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ปิดน่านฟ้าห้ามเที่ยวบินขนต่างชาติมาไทย…ป้องกันภัยโควิดมาเยือน!
เป็นอันปิดฉากบรรยากาศท่องเที่ยวไทย อย่างไม่ต้องอุทธรณ์ฎีกากับใครที่ไหน…เพราะทั่วโลกเขาพร้อมใจกันล็อคดาวน์ประเทศ โดยไม่ปล่อยให้คนของเขาออกมาเที่ยว
และใครจะไปนึกเล่าว่า…โลกนี้มีเครื่องบินโดยสาร 35,000 ลำ อยู่กับสายการบินต่างๆ…แต่จำนวน.2 ใน 3 ถูกจอดทิ้งไว้ตรงลานจอด ไม่สามารถทำชั่วโมงบินได้…ย่อยยับกันไป!
อเมริกาตลาดท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก ปีที่แล้วแห่เที่ยวนอกประเทศ 118 ล้านทริป จ่าย เงินไปกว่า 147,290 $ ไม่วายประสบชะตากรรมยิ่งกว่าครั้งถูกญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ซะอีก
เพราะโควิด – 19 ศัตรูที่มองไม่เห็นตัวตน แผลงฤทธิ์รุนแรงถึงขั้นต้องล็อคดาวน์ประเทศ หยุดการเคลื่อนไหวทุกประเภทไปพักหนึ่ง ก่อนทรัมป์จะตัดสินใจคลายล็อค เพื่อใช้เศรษฐกิจเป็นตัวเลือก ลดความกดดันอเมริกันชน 329 ล้านคนทั่วประเทศ
โดยไม่แยแสจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน จนสูงเป็นอันดับ 1 แซงหน้าจีนคู่รักคู่ชัง
และตายเป็นใบไม้ร่วง 1.86 แสนราย ( 30 ส.ค.) เพราะยังไร้วัคซีนต้านภัยโควิด – 19
ฝั่งบ้านเรา…เมื่อเดือน เมษ.สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ก็ได้ประกาศปิดสนามบินทุกแห่ง สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติทุกตลาด พลันสูญหายไปจากไทยนับแต่บัดนั้น…รวมถึงตลาดอเมริกา ที่เราทำบุญร่วมกันมาเพียงแค่นั้น!
ว่าก็ว่า…หายนะครั้งนี้อเมริกาเองก็บอบช้ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จี.ดี.พี.) ติดลบมากเป็นประวัติการณ์ถึง 31.7% ขณะบ้านเราติดลบ 7.25%
รัฐบาลอเมริกันถึงใช้มาตรการเยียวยาแจกเงินคนกว่า 80 ล้านคน ที่เสียภาษีช่วงสองปีล่า สุด และได้รับผลกระทบจากโควิดให้ผู้มีรายได้ไม่เกินปีละ 75,000 $ ได้เงินช่วยเหลือ 1,200$
หากมีบุตรหรือพี่น้องอายุไม่เกิน 17 ปี ได้เพิ่มคนละ 500$ ผู้มีรายได้ระหว่าง 75,000$ กับ 99,000$ จะได้ลดหลั่นกันไป ส่วนผู้มีรายได้เกินกว่านี้ถูกรัฐปฏิเสธการช่วยเหลือ
เมื่อเป็นเช่นนี้…โอกาสที่คนอเมริกันจะออกท่องเที่ยวนอกประเทศ…เลิกพูดถึงกันได้เลย…และจะกลับมาออนทัวร์ได้วันใดนั้น – พระเจ้าก็ยังตอบไม่ได้!
สัญญาณนี้บ่งบอกถึงตลาดท่องเที่ยวไทยในอเมริกา ที่ได้สิ้นสุดลงแล้วชั่วขณะ…และยากจะฟื้นคืนชีพ ตราบที่โควิดยังไม่หยุดคุกคามแผ่นดินนี้
ขณะมหากาพย์โควิดยังยืดเยื้อ…จู่ๆนายตำรวจผิวขาวชาวเมืองมินนีแอโปลิส รัฐมินเนโซต้า เกิดปฏิบัติการณ์โฉดจับกุมจอร์จ ฟลอยด์ อเมริกันผิวสี ให้นอนราบกับพื้นถนน แล้วใช้เข่ากดค้ำลงไปที่คอ
ฟลอยด์พยายามร้องบอก “I can’t breathe” ซ้ำ 15 ครั้งนาน 8 นาที จนสิ้นลมคาเข่าตำรวจนายนั้นในที่สุด กลายเป็นเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ลามไปตามรัฐต่างๆถึงอังกฤษ
เขาว่ากันด้วยปัญหาการเหยียดผิว ซึ่งเรื้อรังมานาน และดูท่าว่าจะระอุเป็นหนังม้วนยาวบนแผ่นดินอเมริกา…ถึงขั้นเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจ กับตัดงบฯสนับสนุนเป็นทางออกสุดท้าย
บัดนี้…ร่างจอร์จ ฟลอยด์ ได้ถูกส่งลงหลุมฝังศพไปเรียบร้อยโรงเรียนอเมริกันแล้ว พร้อมท่องเที่ยวไทยในตลาดอเมริกา ที่ถูกกดจน “หายใจไม่ออก” ไปด้วยแล้วเช่นกัน…อาเมน!
บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์…