ตำรวจโวยทหารไม่บันทึกจับกุมส่งพนักงานสอบสวน ตั้งแต่เกิดเหตุ ปล่อยตัวไปนอนโรงแรม
ตำรวจสอนมวยทหาร เรื่องกฎหมาย จับเองต้องบันทึกเอง ถ้าไม่มีอำนาจจับกุมก็ต้องประสานผู้มีอำนาจหน้าที่ร่วมจับกุม พร้อมบันทึกจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีทันที ไม่ใช่ปล่อยผู้ถูกจับกุมไปนอนโรงแรม เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง คงไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนกล้ารับคดี หวั่นน้ำผึ้งหยดเดียว ทหารตำรวจแตกแยก
จากกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าว และชุดจับกุมของ กองร้อยทหารพรานนาวิกโยธิน 524 ชุดควบคุมที่ 2 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน นำโดย เรือเอก ศุภชัย ภักดิ์ขัน ผบ.ร้อย 524 ได้ไล่ล่ารถต้องสงสัยที่ขับรถด้วยความเร็ว จนสามารถจับกุม ส.ต.ต.พงศ์พันธ์ อินทร์ทองรอด ผบ.หมู่งานควบคุมจราจร วิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร.พร้อมแรงงานประเทศกัมพูชา จำนวน 8 คน ที่นั่งมาภายในรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ส สีขาว ทะเบียน ต-1901 กทม.(ป้ายแดง) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 เวลาประมาณ 02.00 น. โดยไม่มีการลงบันทึกการจับกุม และยังปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และภรรยา ไปพักโรงแรมในพื้นที่ และในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 11 ส.ค.2563 ได้ให้ตำรวจและแรงงาน มาทำการถ่ายรูปเพื่อไว้รายงานการปฎิบัติงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมกับส่งมอบให้กับ ด.ต.จันดี อินเต็ม ผู้ช่วยร้อยเวร ป้องกันและปราบปราม สภ.บ้านแปลง ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รับตัวผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไปส่งให้พนักงานสอบสวน ดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดหายลอยนวล ไม่มีการจับกุม ไม่มีการลงบันทึกประจำวันแต่อย่างใด
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ (14 ส.ค.2563) หลังจากที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวทหารพราน จับตำรวจและแรงงานต่างด้าวส่งตำรวจ แต่ไม่มีการส่งตัวดำเนินคดี จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ทหาร และตำรวจ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องของการทำงานในเขตพื้นที่แนวชายแดน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ประชาชนได้ติดตามข่าวนี้ ว่าจะลงเอยกันอย่างไร ใครผิด ใครถูก หรือมีเงื่อนงำ จึงขอให้ผู้สื่อข่าวติดตามนำเสนอเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะประชาชนอยากรู้ความจริง ถ้าขืนปล่อยเรื่องนี้หายไป คนมีสีที่มีพฤติกรรมหากินกับแรงงานต่างด้าว และมีส่วนร่วมสนับสนุน ขบวนการค้ามนุษย์ ขบวนการค้าบุหรี่ สุราเถื่อน จะเหิมเกริม มากยิ่งขึ้น ประชาชนคงไม่มีปากมีเสียง ไม่กล้าที่จะเป็นปรปักษ์กับคนมีสี มีอำนาจในพื้นที่นี้
ซึ่งเรื่องนี้ ได้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ท่านหนึ่งออกความคิดเห็น ในเรื่องของกฎหมาย ว่า ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ที่ได้รับมอบหมาย หรือรับมอบอำนาจ เบื้องต้นจะต้องทราบเรื่องกฎหมายก่อนว่า ถ้าไม่มีอำนาจในการจับกุมโดยตรง ก็ต้องประสานผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงมาร่วมจับกุม พร้อมทั้งลงนามในบันทึกการจับกุมร่วมกัน โดยระบุ เวลา วัน เดือน ปี สถานที่จับกุม ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ บัตรประชาชน หรือเอกสารอื่น ๆ ของผู้ถูกจับกุม พร้อมระบุพฤติกรรมของผู้กระทำความผิด แจ้งข้อกล่าวว่าในเบื้องต้น ให้ผู้ถูกจับกุมรับทราบ เซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐานในการยอมรับการจับกุม ข้อกล่าวหา โดยไม่ถูกข่มขู่ บังคับ ขู่เข็น แต่อย่างใด นี่คือ การปฏิบัติเบื้องต้น เพื่อให้พ้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และยังได้ให้ข้อคิดเห็นอีกว่า การที่ทหารพรานนาวิกโยธิน ไล่ติดตามจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขับรถเก๋งมารับแรงงานต่างด้าวที่ ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ถือว่าได้กระทำหน้าที่ควบคุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้า แต่กรณีที่มีข้อขัดแย้ง และข้อครหา ครั้งนี้นั้น เพราะว่าทหารพรานไม่ดำเนินการสอบสวน ทำบันทึกการจับกุม พร้อมอธิบายพฤติกรรมของผู้ถูกจับกุมให้เรียบร้อย หรือถ้าไม่มีอำนาจ ก็ต้องเชิญผู้มีอำนาจมา ร่วมจับกุม จะนำส่งผู้ต้องหาด้วยตัวเอง หรือขอสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปควบคุม ส่งพนักงานสอบสวนพร้อมบันทึกจับกุม แจ้งข้อกล่าวหาให้เรียบร้อยถ้ามีเหตุขัดแย้ง พนักงานสอบสวน จะได้แจ้งให้ชุดสืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกจับกุมลงนามรับทราบข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
และยังได้กล่าวอีกว่า เรื่องที่เป็นเหตุก็คือ เมื่อตำรวจไปรับตัวผู้ต้องหาออกมาจากพื้นที่กองร้อยทหารพราน 524 โดยไม่มีบันทึกการจับกุมให้มาด้วย อีกทั้งไม่ได้เป็นคนจับกุม ก็เป็นช่องว่างที่จะทำให้ตำรวจนายนั้นปล่อยตัวผู้ต้องหาไปได้ เพราะไม่มีหลักฐานการจับกุมจากทหาร ก็มีความเป็นไปได้สูงในเรื่องการตกลงผลตอบแทนให้กัน ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีการนำส่งแล้วพนักงานสอบสวนปฏิเสธไม่กล้ารับคดีนี้ จริงแล้วเรื่องแบบนี้คงไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนกล้ารับคดี ที่ไม่มีบันทึกจับกุม ไม่มีการกล่าวหา ไม่ระบุพฤติกรรมความผิด โดยเฉพาะคดีจับตำรวจขนแรงงานต่างด้าว ที่ทิ้งเวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมง ปล่อยผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจออกไปจากค่ายทหารไปพักโรงแรม อย่างสุขสบาย แถมยังเป็นข่าวโด่งดัง เป็นกระแสข่าวที่สังคมให้ความสนใจ
….ท้ายสุดยังได้กล่าวอีกว่า เรื่องนี้น่าเป็นห่วง หวั่นจะเป็น”น้ำผึ้งหยดเดียว” ระหว่างทหาร กับตำรวจ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เดียวกัน ถ้าไม่เข้าใจกันก็ทำงานลำบาก ถ้ามองในแง่ดี ถ้าตำรวจกับทหาร ต่างคนต่างทำงาน ในขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ ก็จะเกิดประโยชน์โดยตรงกับประชาชน และประเทศชาติสูงสุด จะคานอำนาจ ตรวจสอบพฤติกรรมการกระทำความผิดต่อกัน ถ้าสนิทสนมกันมากก็จะมีโอกาสเอื้อประโยชน์ต่อกัน หาช่องว่างทางกฎหมายกระทำความผิดร่วมกัน โดยเฉพาะขบวนการค้าบุหรี่ สุราเถื่อน และขบวนการค้ามนุษย์ ให้เบาบางหรือหมดไปจากแนวชายแดน จว.จันทบุรี
จึงต้องขอความอนุเคราะห์จาก ท่าน พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันทน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พลตำรวจโท มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 และ พลตำรวจตรี เสถียร บุญค้ำ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี สอบสวนหาความจริงในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องครหาต่อสังคม
ทีมข่าวเฉพาะกิจ รายงาน