นายทุนหนาว…อธิบดีธัญญา สั่ง สบอ.3(บ้านโป่ง) ตรวจสอบที่ดินเอกสารหลักฐานโฉนด -น.ส. 3ก. ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หากไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า เกินก.ม.กำหนด ยึดคืนกลับ เป็นสมบัติของแผ่นดิน
วันที่ 23 ส.ค.2563 นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่3 (บ้านโป่ง)เปิดเผยว่า ตามนโยบาย ของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ให้ดำเนินคดีกับนายทุน ผู้บุกรุกป่า อย่างเด็ดขาด หากพบการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ในที่ดินเขตป่าอนุรักษ์ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย อย่างเฉียบขาด
ทั้งนี้ ได้มีคำพิพากษาศาลปกครองที่สำคัญ และเป็นคดีแรกของประเทศไทย ที่เป็นคดีพิพาท ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่เจ้าของที่ดินทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยที่ดินให้รกร้างว่างเปล่า ถ้าเป็นโฉนดที่ดิน เกิน 10 ปี ติดต่อกัน ถ้าเป็นนส.3 ก เกิน 5 ปี ติดต่อกัน ให้ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิ์ที่ดินนั้น เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ยื่นคำร้องต่อศาล และศาลได้สั่งเพิกถอน ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐ
นายนิพนธ์ฯเปิดเผยต่อว่าที่ผ่านมา มีตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้นในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย เมื่อ ปี2559 มีบุคคลที่กระทำผิดกลุ่มหนึ่ง ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่ง 2 คำขอดังนี้
1.ขอให้เพิกถอนหนังสือคัดค้านของ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่คัดค้านการรังวัดที่ดินตาม น.ส. 3 ก.เลขที่ 1624 ที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื้อที่ 2ไร่ 3 งาน 29 ตาราวา ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ในเขตอุทยานแห่งชาติขุนแจ ที่คัดค้านว่า ที่ดินดังกล่าวถึงแม้มีเอกสารสิทธิ์ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ปัจจุบันมีสภาพเป็นป่า
และเมื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลัง ประกอบกับมีพยานบุคคลยื่นยันว่า ที่ดินดังกล่าวได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เกินกว่า 5 ปีติดต่อกัน ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิ์ ตาม มาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน ตกเป็นของรัฐ โดยผลของกฎหมาย โดยทันที เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกา ที่ 1989 /2511 พร้อมกับได้ทำหนังสือ และพยานหลักฐาน ขอให้อธิบดีกรมที่ดิน ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่ง เพิกถอนน.ส.3ก.เลขที่ 1624 ให้ตกเป็นของรัฐ ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน
2.ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย และค่าขาดประโยชน์ ให้กับพวกผู้ฟ้องคดี เป็นเงิน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ส.ค 2563 ที่ผ่านมา ศาลปกครองเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้องในคดีดังกล่าว โดยศาลฯได้วินิจฉัยว่า ที่ดินตาม น.ส.ก.3 เลขที่1624ดังกล่าว ได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ติดต่อเกินกว่า 5 ปี ตามมาตรา 6ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ที่ดินน.ส.3ก. ดังกล่าว ยังไม่ตกเป็นของรัฐโดยทันที
กรมอุทยานฯต้องไปดำเนินการตามขั้นตอน ให้อธิบดีกรมที่ดินนำเรื่องดังกล่าว ยื่นคำร้องต่อศาล ให้วินิจฉัยชี้ขาด เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่า จะเพิกถอนที่ดินน.ส. 3 ก.ดังกล่าว หรือไม่เสียก่อน ผู้ฟ้องคดียังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินน.ส.3ก. ตราบเท่าที่ดินผู้ฟ้องคดี ยังไม่ถูกเพิกถอนสิทธิครอบครอง ให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ
สำหรับค่าเสียหาย ที่ผู้ฟ้องคดี อ้างว่าได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปซื้อที่ดินน.ส. 3 ก. ดังกล่าว และค่าขาดประโยชน์ ขาดรายได้จากการที่จะทำร้านอาหาร และร้านกาแฟ ในที่ดินน.ส. 3 ก. ดังกล่าว รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น ศาลฯได้วินิจฉัยว่า ขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาล ผู้ฟ้องคดียังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตามน.ส. 3 ก. ในเขตอุทยานแห่งชาติขุนแจ ตราบเท่าที่ดินของผู้ฟ้องคดี ยังไม่ถูกเพิกถอน ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดี ที่กล่าวอ้างว่าได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าว ยังไม่ถือเป็นความเสียหาย ที่จะฟ้องร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่1ที่ 2 และที่ 3ชดใช้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ การกระทำของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี
ส่วนค่าขาดประโยชน์จากการที่จะทำร้านอาหารหรือร้านกาแฟ ในที่ดินน.ส.3 ก.เลขที่ 1624 ดังกล่าวนั้นค่าเสียหายดังกล่าว เป็นเพียงการคาดการณ์ในอนาคต จึงไม่จำต้องรับผิดชดใช้ให้แก่น.ส.เจนจิราฯกับพวกผู้ฟ้องคดี
จากคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ดังกล่าว ซึ่งเป็นแบบแผนในการปฎิบัติ นายนิพนธ์ฯ จึงได้สั่งการให้อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทุกแห่งในสังกัด สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ที่ดูแลพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสงครามสมุทรสาคร ให้ดำเนินการ ตรวจสอบโฉนดที่ดิน หรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่รับผิดชอบ
หากตรวจสอบแล้วพบว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน พื้นที่เขตป่าอนุรักษ์โดยมิชอบ ก็เสนอขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ออกโดยมิชอบ ในที่ดินเขตป่าอนุรักษ์ ตามมาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดิน กลับคืนมา เป็นสมบัติของแผ่นดิน หรือหากตรวจสอบแล้วพบว่า โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ออกโดยชอบ แต่ได้ปล่อยทอดทิ้ง หรือมิได้ทำประโยชน์ ถ้าเป็นโฉนดที่ดิน เกิน 10 ปี หรือถ้าเป็นหนังสือนส.3 ก. เกิน 5 ปี ต้องถือว่ามีเจตนาสละสิทธิ์ในที่ดิน ก็เสนอขอให้กรมที่ดินเสนอต่อศาล เพิกถอนตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน กลับคืนมาเป็นสมบัติของแผ่นดินดังเดิม
นายนิพนธ์ฯยังได้กล่าวต่อไปว่า หากกรมที่ดินดำเนินการ เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ล่าช้า ทั้งที่มีพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้ง โดยปราศเหตุอันสมควร หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เดือดร้อน หรือเสียหาย อาจสามารถยื่นฟ้อง ให้กรมที่ดิน ดำเนินการตามกฎหมายที่ดิน มาตรา 6 หรือมาตรา 61 ได้ไม่ขัดกับมติครม.12 ธ.ค.2549 เทียบเคียงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.529/2559
และถ้าหากดำเนินการ อย่างเคร่งครัดและจริงจัง ในที่ดินที่ได้ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดินในทุกพื้นแล้ว จะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาที่ดิน และสร้างงานให้กับประชาชนในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังได้พื้นที่ป่า หรือพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น จากการยึดคืนที่ดินมาจากนายทุนอีกด้วย
วุฒิเดช ก้อนทองคำ ผู้สื่อข่าว จ. กาญจนบุรี