“สิระ” ควง “โรม”ลุยปักษ์ใต้อีกครั้ง ทวงคืนป่าจากนายทุนและขรก.ทุจริต
นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐและประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในช่วง2-3วันนี้ตนเเละนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัด
พังงา เพื่อหาข้อมูลกรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการถูกบุกรุกที่ดินทำกิน โดยการข่มขู่คุกคามจากบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา รวมถึงตรวจเยี่ยมหน่วยงานราชการและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของ
ประชาชนเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่10กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา
“ในวันนี้ตนยังรับร้องเรียนความเดือดร้อนอื่นๆ เช่น เวลาการเปิด-ปิด สถานบริการที่ป่าตอง โดยมีการร่วมประชุมหารือแนวทางระหว่างคณะกรรมการฯ และนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตโดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ใช้สิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่ “
นายสิระกล่าว
นายสิระ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับหนังสือเรื่องความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจังหวัดภูเก็ต กรณีการก่อสร้างอาคารโครงการห้องชุดแห่งหนึ่ง ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2562 เรื่องการรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง
กรณีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดโครงการดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ว่ามีการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
“บริเวณพื้นที่ป่าสมบูรณ์ยังคงได้รับผลกระทบจากโครงการ เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่าการดำเนินการของโครงการ ไม่ได้หยุดการก่อสร้างตามคำสั่งฯ ของหน่วยงานราชการ ยังมีการแอบลักลอบก่อสร้างต่อเติมเรื่อยมา ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เกิดน้ำป่าทะลัก ดิน
โคลนไหลหลาก เนื่องจากโครงการอยู่พื้นที่ลาดเชิงเขาประชาชนบริเวณหน้าชายหาดได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ เเละหนังสือ ที่ ยธ 0809.3/510 กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่า ศาลปกครองนครศรี
ธรรมราชได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ 266/2560 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)ดังกล่าว เนื่องจากคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินที่ให้ยกเลิกคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) และดำเนินการออกหนังสือรับรองการ
ทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด”นายสิระระบุ
นายสิระ กล่าวว่า สิ่งที่กังวลในปัจจุบัน คือ สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติบริเวณโดยรอบพื้นที่ก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ได้ถูกทำลาย และระบบนิเวศ ทางเดินทางน้ำต่างๆ ไม่เป็นดั้งเดิม ซึ่งเดิมเมื่อฝนตกต้นไม้ปกคลุมดินบนหน้าผาจะซึมซับน้ำเอาไว้ ลดความ
รุนแรงของการเคลื่อนไหวของน้ำที่จะไหลหลากด้วยความเร็วก่อนจะลงมายังหน้าหาด หรือ ถนนทางเดินสาธารณะ ทั้งนี้ จากลงพื้นที่พบหลังก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าว ได้เกิดร่องรอยของดินโคลนถล่ม น้ำไหลหลาก โคลนจากภูเขา เศษหิน และยังมี
เศษอิฐบางส่วนจากกงานก่อสร้างถูกนำพาลงมากับน้ำลงมาที่บริเวณหน้าชายหาด ซึ่งตนกังวลว่าจะมีกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในระยะยาวได้
นายสิระ กล่าวต่อว่า ที่ดินของโครงการตั้งอยู่ในเขตภูเขา มีความลาดชันเฉลี่ยเกิน 35% และมีบางส่วนอยู่นอกเขตภูเขา มีความลาดชันเฉลี่ยไม่เกิน 35% ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ให้กับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของ
โครงการคอนโดฯดังกล่าว หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จึงเป็นการออกในพื้นที่ที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามข้อ 3 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2497)
นายสิระ กล่าวเพิ่มว่า ในเมื่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) แล้ว ต้องระงับการก่อสร้างอาคารหรือชะลอการต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคารในที่ดินแปลงดังกล่าวไว้ก่อน แต่กลับไม่ระงับการก่อสร้าง
รวมถึงพิจารณาต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร โดยวางหลักประกันจำนวน 3 ล้านบาท ซึ่งกรณีดังกล่าวกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารไม่ได้บัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินการได้
นายสิระกล่าวต่อว่า นายรังสิมันต์ทำงานในสภาผู้เเทนฯเเละทำงานเป็นโฆษกกมธ.คณะเดียวกันกับตน รวมทั้งนายรังสิมันต์ยังเป็นลูกหลานชาวภูเก็ตอีกด้วย ดังนั้นการที่ลงมาในพื้นที่คราวนี้ร่วมกับตนเเเม้จะอยู่กันคนละฝ่าย เเต่ถือว่าร่วมกันทำหน้าที่ส.ส.ในการดู
เเลประชาชน ไม่มีการเเบ่งฝ่ายว่าเป็นส.ส.รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อนำข้อมูลไปช่วยกันวางเเผนเเก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป
ด้านนายรังสิมันต์กล่าวว่า ในมุมมองของตนนั้นพบว่าการรุกทรัพยากรที่นี่ หากตรวจสอบจริงจะพบว่ามีผู้ประกอบการทำผิดกฎหมายค่อนข้างมาก ซึ่งข้าราชการท้องถิ่นเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักในการกระทำดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมมาธิการ ฯจะตรวจสอบเเละดำเนิน
การทางกฎหมายอย่างจริงจังในทุกกรณีต่อไป