“พล.อ.ประวิตร” เปิดประชุมใหญ่ พปชร.โชว์ผลงานโดดเด่นกว่า 3 ปี ยกระดับรายได้ ปชช.

นครราชสีมา-พล.อ.ประวิตร เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่โคราช ประกาศย้ำจุดยืนสร้างพรรคพลังประชารัฐสู่สถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง

วันที่ 3 เมษายน 2565 ณ โรงแรมเซนเตอร์ พอยท์ เทอมินอล 21 จ. นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2565 โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค เป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกพรรคแต่ละจังหวัดทั่วประเทศที่เข้าร่วมประชุมมากกว่า 500 คน โดยบรรยากาศการประชุมครั้งนี้ มีกรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าภาค 10 ภาค ต่างทยอยเดินทางร่วมประชุม รอต้อนรับหัวหน้าพรรคอย่างพร้อมเพรียง ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ประกอบด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายวิรัช รัตนเศษฐ รองหัวหน้าพรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รองหัวหน้าพรรค ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค และดร. พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรค ซึ่งการประชุมจัดขึ้นภายใต้มาตรการสาธารณสุข โดยผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต้องผ่านการตรวจ และแสดงผล ATK พร้อมเว้นระยะห่างในการประชุมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด 19

ทั้งนี้ก่อนเข้าระเบียบวาระการประชุม เวลาประมาณ 10.00 น. พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวต้อนรับ ผู้เข้าร่วมประชุม และกล่าวถึงความสำเร็จ และการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายพรรคเพื่อดูแลประชาชนตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่มีการจัดตั้งพรรค ขึ้นมา ว่า บ้านหลังนี้ จะพัฒนาให้เป็นสถาบันทางการเมือง ที่มั่นคง เข้มแข็งสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นทำงานให้พรรคอย่างเต็มที่ ผ่านโครงสร้างการทำงานภายในพรรค แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเป็น 10 ภาค ที่จะนำมาสู่การกำหนดนโยบายตามบริบทของพื้นที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการส่งเสริม และยกระดับภาคการเกษตร ที่นับเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลเพิ่มทักษะแรงงาน รองรับการลงทุนในอนาคต เพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนทั่วประเทศ

ดังนั้น พปชร. ได้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องที่ทำกิน และการบริหารจัดการน้ำให้ภาคการเกษตรสามารถมีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี ผ่านแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ 20 ปี โดยผลการดำเนินงานตามแผนตั้งแต่ปี 2561-2564 สามารถหาแหล่งน้ำได้เพิ่มขึ้น 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์มากกว่า 1 ล้านครัวเรือน หรือเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 1 ล้านไร่ ส่งผลให้ประชาชนมีแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตร ซึ่งการบริหารจัดการน้ำยังควบคู่ไปกับแผนป้องกันอุทุกภัย มีการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ จัดทำแผนแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ ทั้งในเรื่องเงินเยียวยาผ่านงบกลางของภาครัฐ ซ่อมแซมที่พักอาศัย มีการจัดถุงยังชีพให้กับประชาชน ผ่านสส.ของพปชร.เข้าไปดูแล ประสานงานช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมาได้เข้าไปดูแลราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจ 5 ชนิด ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน สามารถสร้างรายได้ให้กับภาคเกษตรได้มากกว่า 7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.2% และคาดว่าในปี 2565 ราคาสินค้าเกษตร จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% ซึ่งมีอัตราเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี รวมทั้งส่งเสริมพืชเศรษฐกิจในการสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจ สีเขียว ตามหลักเศรษฐกิจ BCG

พรรคยังคงยึดมั่นในการผลักดันนโยบาย 3 เสาหลักเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องตามที่ให้คำมั่นกับประชาชน ทั้งในเรื่องสวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ และสังคมประชารัฐ ซึ่งได้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และยังคงยึดมั่นดำเนินต่อไป เพื่อประชาชน และคนกลุ่มเปราะบาง ให้เข้าถึงบัตรสวัสดิการของรัฐ ที่ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มผู้สูงอายุ รวมไปถึงการเสริมสร้างความรู้ด้านอาชีพ การหางาน สร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

อย่างไรก็ตามช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 ได้เข้าไปดูแลประชาชนทั้งในการมอบอุปกรณ์การแพทย์ จัดสิ่งของเครื่องใช้อุปโภค บริโภคที่จำเป็นผ่านการทำงานพื้นที่ของส.ส. ทั่วประเทศ พร้อมกับผลักดัน 3 โครงการที่ประสบความสำเร็จ ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดีและเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ “โครงการคนละครึ่ง” เป็นการช่วยเหลือรัฐบาลเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายซื้อสินค้า 50% กระตุ้นกำลังซื้อในระบบ ขณะนี้ได้ดำเนินการมา 4 ระยะ มีประชาชนใช้สิทธิ์มากกว่า 26 ล้านคน มียอดค่าใช้จ่ายมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมี “โครงการเราชนะ” เป็นมาตรการเยียวยา เพื่อลดค่าครองชีพ มีประชาชนได้รับสิทธิ์ถึง 33.2 ล้านคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 2.7 แสนล้านบาท และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” เป็นโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในประเทศ

  พล.อ.ประวิตรกล่าวด้วยว่าในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ได้ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางราง น้ำ บก และอากาศ ให้เกิดความพร้อมในการรองรับให้บริการกับประชาชน ที่มีความปลอดภัย และทันสมัย โครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา  รวมทั้งการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดให้กับประชาชน ขณะเดียวกันยังได้พัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ดำเนินการไปแล้ว 3 เส้นทาง   ประกอบด้วย ชลบุรี- ระยอง  กรุงเทพฯ-ประจวบคีรีธันธ์ และบางประอิน – นครราชสีมา   พร้อมทั้งการยกระดับสนามบินอู่ตะเภา เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ เป็นสนามบินหลัก อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย สามารถรองรับการขนส่ง ทั้งจากนักท่องเที่ยวและสินค้าเพิ่มขึ้น ภายหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายและรองรับการลงทุนในพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)

อย่างไรก็ตามพรรค ประสบความสำเร็จในการผลักดัน นโยบายการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และเรือไฟฟ้า ที่กำลังพัฒนาโครงการต้นแบบ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการผลิต และการใช้ในประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยานยนต์พลังงานสะอาด ได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทำให้ไทยแก้ปัญหามลพิษทางอากาศที่สามารถดูแลสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการดูแลความปลอดภัย นับเป็นเรื่องสำคัญ ได้เร่งหน่วยงานของรัฐ ติดตั้งกล้องวงจรปิด(CCTV )ทั่วประเทศ เพื่อป้องปรามอาชญากรรม และใช้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ส่วนปัญหาค้ายาเสพติด เป็นเรื่องที่พปชร. และรัฐบาลได้ร่วมกัน ดำเนินการทะลายวงจรค้ายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยร้ายแรงบ่อนทำลาย ครอบครัว สังคมและประเทศ

จากการดำเนินงานทั้งหมด ถือเป็นผลงานสำคัญของพรรค ที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดี ให้กับประชาชนตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของพรรคที่สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติ ให้ยั่งยืน ตลอดไป หลังจากนั้นพลเอกประวิตร เดินทางกลับโดยไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์แต่อย่างใด

ภาพ-ข่าว กัญศลักษณ์ รุ่งสุขประเสริฐ ผู้สื่อข่าว จ.นครราชสีมา

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม