หายตัวปริศนา!!สองผัวเมียเมืองคอนร้องสื่อ“น้องมุข”บุตรสาวหายตัวปริศนาหลังทะเลาะสามี-คาดโดนคนใกล้ชิดฆ่าฝังศพในจุดใดจุดหนึ่ง 2 เดือนยังไม่มีความคืบหน้า
สองผัวเมียเมืองคอนร้องสื่อ “น้องมุข”บุตรสาวหายตัวปริศนาหลังทะเลาะสามี-คาดโดนคนใกล้ชิดฆ่าฝังศพในจุดใดจุดหนึ่ง 2 เดือนยังไม่มีความคืบหน้า -สงสัยหายไป 7 วันเมื่อพ่อแม่ทราบจะเข้าแจ้งความลูกเขยกลับชิงเข้าแจ้งความตัดหน้าและตำรวจไม่ขอรับแจ้งความจากำพ่อแม่อ้างเป็นเรื่องเดียวกัน
(3 มิ.ย.) ที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีนายประสิทธิ์ สุวรรณมณี และนางจิราวรรณ สุวรรณมณี อายุ 46 ปีเท่ากันอยู่บ้านเลขที่ 75/3 หมู่ 5 ต.ท้ายสำเภา อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช นรำเอหกสารหลักฐานเข้าร้องเนียนขอความเป็นธรมและขอความช่วยเหลือกรณีที่ น.ส.พัชรีวรรณ สุวรรณมณี หรือ “น้องมุข” อายุ 22 ปี บุตรสาวหายตัวไป สงสัยว่าจะถูกฆ่าและทำการปิดบังวอำพราง ซ่อนเร้นศพ ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ภาชี อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฏร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2563 จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนติดตามหาตัว น.ส.พัชรีวรรณ แม้แต่น้อย
นางจิราวรรณ เปิดเผยว่า น.ส.พัชรีวรรณ หรือ “น้องมุข บุตรสาวไปมีสามีที่ ต.คลองฉวน อ.เวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี จนมีบุตรชาย 1 คน ชื่อ “น้องเบอร์” ปัจจุบันอายุ 5 ขวบ แต่มีปัญหาครอบครัวจนต้องเลิกรากันไป สามีของน้องมุขมีภรรยาใหม่ และรับเลี้ยงบุตรชาย แต่ทั้งคู่ยังมาหาสู่กันเป็นประจำ ซึ่งหลังจากเลิกรากับสามี ก็มีชายหนุ่มหลายรายเข้ามาติดต่อกับน้องมุข บุตรสาว โดยเฉพาะการติดต่อผ่านเฟซบุ๊ค จนกระทั้งเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมาน้องมุขได้ตัดสินใจไปอยู่กินกับนายนัยสิทธิ์ พุนพูล อายุ 36 โดยย้ายไปอยู่กับนายนัยสิทธิ สามีใหม่ที่สามีที่บ้านนาควร ต.ท่าชี อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฏร์ธานี จนเมื่อคืนวันที่ 9 เม.ย. 2563 นายสามีใหม่ของน้องมุข ได้เห็นภาพผู้ชายคนหนึ่งชื่อนายก๊อป” ที่เคยตามจีบ น.ส.พัชรีวรรณ ในช่วงที่เลิกกับสามีเก่าใหม่ ๆ จึงขอให้ น่องมุข ลบภาพนายก๊อปออกจากเครื่องโทรศัพท์ แต่น้องไม่ยอมลบ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทโต้เถียงชกันขึ้น โดยนายนัยสิทธิ์ สามีได้แย่งโทรศัพท์ของน้องมุขไปปาทิ้งกับพื้นและใช้เท้าเหยียบซ้ำ น้องมุขบุตรสาวของตนจึงประกาศจะไม่ขออยู่กินกับนายนัยสิทธิ์อีก จะจะเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านนายนัยสิทธิ์ทันที นายนัยสิทธิ์ จึงเข้าไปกอดน้องมุขเอาไว้ ขอร้องขอให้อยู่กินกันเหมือนต่อไปก่อนพากันเข้านอน
“จนเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2563 ญาติ ๆ ของตนใน อ.บ้านนาสาร ได้โทรศัพท์มาสอบถามว่า น.ส.พัชรีวรรณ หรือน้องมุข กลับมาอยู่กับตนหรือ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราชหรือไม่เพราะหายตัวไปหลายวันแล้ว ตนและสามีจึงรีบเดินทางไป ต.ท่าชี อ.น้านนาสาร จ.สุราษฏร์ธานี บ้านของนายนัยสิทธิ์ ลูกเขย สอบถามเรื่องราวโดยนายนัยสิทธิ์ อ้างว่าหลังจากทะเลาะกันและเข้าห้องนอนกอดน้องมุขไว้ในอ้อมกอดเพราะเกรงว่าน้องมุข จะไม่อยู่กินด้วยและจะหลบหนีออกจากบ้าน ซึ่งนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยอ้างว่าเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ไม่พบน้องมุข แล้วและไม่ทราบว่าหายไปไหนคิดว่าอาจจะไปอยู่บ้านญาติหรือกลับมาอยู่กับตนที่ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งนายนัยสิทธิ์ ก็ไม่ได้ออกไปตามหาใด ๆ ตนจึงออกตามหาตามบ้านญาติ ๆไม่ก็ไม่พบตัว จึงพากันเดินทางไป สภ.ท่าชี เพื่อเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน แต่ได้รับแจ้งว่าในวันเดียวกัน (15 เม.ย.) นายนัยสิทธิ์ ลูกเขยได้ชิงเข้าแจ้งความไปก่อนหน้าแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่รับแจ้งความตน ทั้ง ๆ ที่ตนและสามียืนยันว่าเป็นพ่อแม่ของน้องมุข น่าจะเป็นผู้เสียหายโดยตรง ส่วนนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยแค่อยู่กินกันเฉย ๆ ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่อย่างใด จึงไม่น่าจะเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ได้ อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนยืนยันไม่รับแจ้งความตนทั้งสองอยู่ดี
ทางด้านนายประสิทธิ์ กล่าวว่า ตนและนางจีราวรรณ ภรรยาและญาติ ๆ ได้เดินทางจาก จ.นครศรีธรรมราช ไปติดตามหาตัวของน้องมุข บุตรสาวในพื้นที่ อ.บ้านนาสมาร อ.เวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี ทุกวันพร้อมติดตามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ โดยทราบว่าตำรวจได้สอบสวนปากคำนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยก็ให้การว่าไม่ทราบ ไม่รู้ไม่เห็นว่าน้องมุข หายไปไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยไปตรวจร่างกายพบว่ามีรอยคลายรอยเล็บขีดข่วนที่แผ่นหลัง แต่นายนัยสิทธิ์ ลูกเขยอ้างว่าเป็นรอยที่ตัวเองเกาหลังจนเป็นแผล นอกจากนี้ตำรวจได้สอบสวนปากคำน้องสาวของนายนัยสิทธิ์ ให้การว่าหลังจากน้องมุขกับนายนัยสิทธิ์ ทะเลาะกันและเข้านอน ปรากฏว่าได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทกันในห้องและน้องมุขกรีดร้องเสียงดังลั่นบ้านก่อนจะเงียบเสียงไป น้องสาวของนายนัยสิทธิ์ จึงได้ลุกขึ้นมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น โดยนายนัยสิทธิ์ ได้ออกมาบอกว่าไม่มีอะไรให้น้องสาวกลับไปนอน
“ตนสงสัยว่านายนัยสิทธิ์ ลูกเขยและคนในบ้านที่มีสมาชิกอยู่ในขณะนั้นนับ 10 คนจะต้องรู้เรื่องการหายตัวไปของน้องมุข บุตรสาวของตนอย่างแน่นอน ซึ่งช่วงวันเกิดเหตุอยู่ในช่วงที่มีการกักตัวอยู่บ้านตามมาตรการอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติของรัฐบาล แต่นายนัยสิทธิ์ และทุกคนในบ้านกลับไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ในการติดตามค้นหาน้องมุข ที่เป็นเมียตัวเองเลย เขาไม่สนใจ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย การเข้าแจ้งความก็แจ้งหลังจากหายไป 7 วันและชิงแจ้งหลังจากที่ตนทราบและพจะเข้าแจ้งความ เป็นแค่การแจ้งความเพื่อกันตัวเองไว้เท่านั้น ตนและนางจีราวรรณ พร้อมญาติ ๆ เชื่อว่าน้องมุข ถูกฆ่าตายแล้วโดยมีมือของคนใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยเป็นผู้ที่ตนและญาติ ๆ สงสัยมากที่สุด หลังจากฆ่าน้องมุขแล้ว อาจจะนำศพไปโปกปูนซ่อนศพ ขุดหลุมฝังศพไว้มี่ไหนสักแห่ง หรือทำการปิดบัง ซ่อนเร้นอำพรางศพด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งตนและญาติ ๆ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบค้นหาในทุกพื้นที่ที่ต้องสงสัยไม่ว่าในป่าตามห้วยหนองคลองบึง ในบ่อน้ำร้าง และอื่น ๆ แต่ไม่ศพ หรือร่องรอยของน้องมุข แม้แต่น้อย จนถึงขณะนี้เวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนเต็มแล้วยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย ตนและ นางจีราวรรณ ภรรยา ในฐานะพ่อแม่ จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าชี อ.บ้านนาสาร อีกครั้งเพื่อให้เขารับแจ้งความตนในฐานะผู้เสียหายแท้จจริง แต่ตำรวจ สภ.ท่าชี ก็ยืนยันไม่รับแจ้งความเหมือนเดิมจึงเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.มือง จ.นครศรีธรรมราช แต่เรื่องก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ โทรไปสอบถามพนักงานสอบสวน สภ.ท่าชี เจ้าของคดีก็ได้รับแค่คำตอบว่ายังไม่พบตัว ยังไม่มีความคืบหน้าใด”
สองสามีภรรยากล่าวอีกว่า ตนรู้สึกว่านายนัยสิทธิ์ ลูกเขยและตำรวจพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นว่า น้องมุข ตั้งใจหลบหนีออกจากบ้านเอง โดยมีรถยนต์ขัยบมารับในช่วงรุ่งสางในประเด็นนี้มันเป็นไปไม่ได้ พราะ น้องมุขหายตัวไปโดยไม่ได้เอาเสื้อผ้า ทรัพย์สินหรือแม้แต่บัตรประชาชนก็ไม่ได้เอาไป และหายไปพร้อมกับโทรศัพท์เครื่องที่นายนัยสิทธิ์ ลูกเขยปาลงพื้นที่เหยียบซ้ำ ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าโทรศัพท์จะเสียหรือไม่ แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆในเฟซบุ๊คหรือโลกโซเชี่ยลทั้ง ๆที่ตามปกติน้องมุข จะติดโทรศัพท์ติดโซเชี่ยลอย่างมาก ทุกวันจะโพสต์ภาพ หรือข้อความต่อเนื่องและยังแชทข้อความคุยกับตนวันละหลาย ๆ ครั้ง ส่วนภาพนายก๊อป ที่อยู่ในโทรศัพท์ของน้องมุข นั้นทราบว่าในช่วงเกิดเหตุนายก๊อปถูกจับในคดียาเสพติดต้องโทษติดคุกอยู่ในเรือนจำมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายนัยสิทธิ์ หรือตำรวจพยายารมบอกว่าน้องมุข เป็นชูกับนายก๊อปและอาจจะหนีไปกับนายก๊อป ตนทั้งสองร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบางอย่างระหว่างระหว่างตำรวจกับนายนัยสิทธิ์ ลูกเขย จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือตากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกทางหนึ่ง และอยากฝากไปถึงมูลนิธิกระจกเงา ผบก.ภ.จว.สุราฎร์ธานี ,ผบช.ภาค 8 และ ผบ.ตร.ให้ช่วยเร่งรัดติดตามหาน้องมุข ให้ด้วยไม่ว่าจะได้ตัวเป็น ๆ หรือเป็นศพ ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรมเงียบ ๆ แบบนี้ตนทั้งสองมีความกดดันจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว
“และจากการไปขอความช่วยเหลือจากหมอดูเขาระบุเหมื้อนกันว่าเสียชีวิตแล้วและอยู่ใกล้ ๆบ้านของนายนัยสิทธิ์ ลูกเขยนั้นเอง ประกอบกับตนทั้งสองฝันเห็นบุตรสาวนั่งก้มหัวชันเข่าอยู่ในที่แคบ ๆ และมีวัสดุคล้ายแผ่นอิฐ แผ่นหินขนาดใหญ่ทับเอาไว้ ล่าสุดน้องเบอร์ บุตรชายของน้องมุขที่เกิดจากสามีเก่าบอกว่าแม่มาหาและเล่านกับแม่อยู่ในห้อง สามีเก่าและญาติ ๆ ที่ได้ยินน้องเบอร์บอกพากันวิ่งไปตรวจสอบก็พบกับความว่างเปล่าและเชื่อว่าคงเป็นวิญญาณของน้องมุข ที่ยังเป็นห่วงลูกชายจึงมาหาน้องเบอร์ก็เป็นได้”สองผัวเมียกล่าวย้ำในที่สุด .ซึ่งข่าวคืบหน้าจะนำเสนอต่อไป.
ไพฑูรย์ อินทศิลา กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ นครศรีธรรมราช